คนอายุมากแล้ว! จะได้ถอยออกไป 3กุมารโชว์สปิริต ไปไหนไปทั้งทีม ทูลเกล้าฯป.ป.ช. ณัฐจักรคนเดียว
“สมคิด” ครวญคนดีๆอยู่ไม่ได้
ขณะที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ก่อนเข้าประชุม คนร. ถึงกระแสข่าวความวุ่นวายภายในพรรคพลังประชารัฐกดดันให้มีการปรับ ครม.ว่า ช่วงนี้พวกเราทุกคนไม่ว่าใครต้องร่วมใจช่วยกันดูแลให้การเมืองดี การเมืองสำคัญมากและเป็นหน้าที่ทุกคน ถ้าการเมืองดีเศรษฐกิจก็จะดีตาม สังคมก็จะดีตาม ถ้าบรรยากาศการเมืองไม่ดีงานการก็เดินไม่ได้ ทุกคนเดือดร้อนรวมทั้งพวกเราด้วย ต้องช่วยกัน เราต้องการให้คนดีๆเข้ามาช่วยทำงาน การเมือง เราเห็นตั้งแต่วันแรกแล้วอย่างนายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง คนดี คนเก่ง ซื่อสัตย์ สุจริต เขาก็อยู่การเมืองไม่ได้ แล้วถ้าทยอยไปทีละคนใครจะทำงานพวกเขาไม่ได้เดือดร้อนคนอื่นต่างหากที่จะเดือดร้อน ทุกฝ่ายก็รู้จักกันทั้งนั้น ข่าวอะไรก็อย่าไปพูดอย่าไปถามหยุดได้แล้ว
ย้อน “นายกฯเป็นคนดีใช่หรือไม่”
ผู้สื่อข่าวถามย้อนว่าข่าวที่เกิดขึ้นล้วนมาจากบรรดานักการเมือง นายสมคิดตอบว่า ต้องไปถามคนที่เขาพูด ไม่ต้องมาถามตน ข่าวดีๆทำไมไม่ตามกัน อย่างบ่ายนี้จะไปติดตามงานเรื่องงบประมาณ เพื่อดูว่ามาตรการต่างๆไปถึงไหน ครึ่งปีหลังควรจะมีอะไรเพิ่มเติม คนดีมีเยอะในเมืองไทย และอยากให้เขาเข้ามาถ้าเข้ามาได้ก็เชิญเข้ามาเลย คนที่อายุมากแล้วจะได้ถอยไป เมื่อถามว่าแล้วนายกฯคิดเหมือนกันหรือไม่ นายสมคิดตอบว่า อ้าว นายกฯเป็นคนดีใช่หรือไม่ ท่านก็ต้องคิดเหมือนกัน การปรับ ครม.อยู่ที่ท่านอยู่แล้ว เมื่อถามว่าแสดงว่าช่วงนี้หลายคนเล่นการเมืองมากกว่าจะทำงานใช่หรือไม่ นายสมคิดตอบว่า “ผมไม่ได้ว่าอย่างนั้น แต่ผมบอกว่าอยากให้ทุกคนเอาใจใส่ ตั้งใจ และพูดคุยในสิ่งที่ช่วยบ้านเมืองได้ ใครมาใครไปไม่สำคัญหรอก” เมื่อถามย้ำว่ามองใครไว้บ้างที่จะให้มาช่วยงานด้านเศรษฐกิจ นายสมคิดตอบสั้นๆว่า “คนดีๆมาได้ทั้งนั้น เวลคัม”
“อุตตม” ปิดปากนัดถกทีม 3 กุมาร
นายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง รักษาการหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงการเรียกประชุมพรรค พปชร. เพื่อเลือกกรรมการบริหารพรรคฯชุดใหม่ว่า ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการเรียกประชุมภายในกรอบเวลา 45 วัน เมื่อถามว่าได้เตรียมบุคคลเสนอเป็นหัวหน้าพรรคและตำแหน่งสำคัญไว้หรือไม่ นายอุตตมตอบว่า ยังไม่ทราบ ต้องรอการประชุมก่อน เมื่อถามว่าหากมีการปรับ ครม.ด้านเศรษฐกิจ จะมีผลกระทบต่อแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจหรือไม่ นายอุตตมตอบว่า เชื่อว่านายกฯจะดูแลในทุกเรื่อง และกลั่นกรองอย่างรอบคอบ เมื่อถามย้ำถึงกรณีนายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รมว.การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม รักษาการรองหัวหน้า พปชร. ระบุว่าทีมรัฐมนตรี 3 กุมารเตรียมนัดพูดคุยกำหนดท่าทีว่าจะอยู่ทำงานต่อ หรือจะลาออกยกชุด นายอุตตมไม่ได้ตอบคำถาม และเดินเข้าห้องประชุมทันที
“สมคิด” เลี่ยงร่วมเฟรมกับ “ลุงตู่”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังประชุม คนร. ระหว่างนายกฯเดินกลับขึ้นตึกไทยคู่ฟ้า ได้หยุดยืนคุยกับนายอุตตมและนายศักดิ์สยาม นานประมาณ 3 นาที เป็นการพูดคุยสั่งงาน และก่อนที่นายกฯจะเดินกลับขึ้นตึกได้หันมาส่งยิ้มพร้อมโบกมือให้กับผู้สื่อข่าว ส่วนนายสมคิดที่เดินออกมาพร้อมกัน ได้แยกตัวเดินกลับมายังตึกบัญชาการ 1 ไม่ได้ไปยืนพูดคุยด้วย เมื่อเดินผ่านกลุ่มผู้สื่อข่าว นายสมคิดได้แต่หัวเราะโดยไม่ได้กล่าวอะไร
“สุวิทย์” ขอทำงานจนวินาทีสุดท้าย
ต่อมาเวลา 15.30 น. นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รมว.การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) รักษาการรองหัวหน้าพรรค พปชร. ให้สัมภาษณ์ภายหลังนำคณะผู้แทนภาคเอกชน เข้าพบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ เพื่อหารือประเด็นระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน ถึงกระแสข่าวเตรียมนัดหารือกับนายอุตตม สาวนายน และนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พลังงาน รักษาการเลขาธิการ พปชร. ว่า วันนี้ยังทำงานอยู่ ทุกคนต้องช่วยกันทำงาน ช่วยนายกฯนำพาวิสัยทัศน์ประเทศไปข้างหน้า ช่วงหลังวิกฤติโควิด-19 หน้าที่ในฐานะรัฐมนตรีคือเข้าไปเยียวยาฟื้นฟูทั้งภาคเอกชน ประชาชน โดยเฉพาะเอสเอ็มอี ส่วนที่โพสต์เฟซบุ๊กเรื่องการปล่อยวางนั้น เป็นการเตือนตัวเอง ไม่ได้ปลงกับปัญหา วันนี้นายกฯให้โจทย์มาอีกเยอะ ตอนนี้มีหน้าที่ทำงาน แม้ตนจะเป็นรองหัวหน้า พปชร.แต่ไม่ค่อยคุ้นชินกับงานการเมือง มาเป็น รมว.อว.ช่วยนายกฯขับเคลื่อนหลายเรื่อง เมื่อถามว่าถอดใจหรือไม่ นายสุวิทย์ตอบว่า เราทำงาน ทำจนวินาทีสุดท้าย ต้องมาคุยกันว่าการเมืองหลังโควิด-19 ควรเป็นยังไง รูปแบบการเมืองที่ทำกันอยู่แบบเดิมๆตอบโจทย์หรือไม่
ย้ำสปิริตไปไหนต้องไปกันทั้งทีม
เมื่อถามย้ำถึงการนัดคุยกันของทีม 3 กุมาร นายสุวิทย์ตอบว่า เพราะเราเป็นคู่กรณี ถ้ามีโอกาสต้องคุยกัน ส่วนหนึ่งเป็นเรื่องสปิริต เรามาด้วยกันก็ต้องไปด้วยกัน ก่อนหน้านี้พวกตนคือ 4 กุมารลาออกจากรัฐบาล คสช.ไปตั้งพรรคใหม่ การตัดสินใจจะไม่ใช้อารมณ์ และเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ แต่เป็นเรื่องภายในพรรค 4 กุมารเป็นกรรมการบริหาร แต่นายสมคิดเป็นอาจารย์ ตนให้การสนับสนุน 4 กุมารมาตลอด ก็แล้วแต่ท่าน แต่ถ้าแยกให้ออกเรื่องนี้เป็นเรื่องภายในต้องมาคุยกัน จริงเท็จไม่รู้แต่มีการพูดกันว่าการปรับเปลี่ยนผู้บริหารพรรคเชื่อมโยงกับการปรับเปลี่ยน ครม. การปรับ ครม.เป็นเรื่องของนายกฯ ต้องเคารพการตัดสินใจของท่าน ต้องให้เกียรติเพราะท่านเป็นคนเลือกเรามา “ผมถือว่าภารกิจผม ท่านนายกฯไว้วางใจให้มาตั้งกระทรวงใหม่ หากลาออกเลยจะหาว่าทิ้งกระทรวง ตอนนี้เป็นเวลากว่า 1 ปี ถือว่าสร้างฐานรากมาพอสมควร เป็นหน้าที่ของรัฐมนตรีใหม่ ส่วนนายกฯจะให้ผม และอีก 2 กุมารอยู่ต่อหรือไม่ เป็นดุลพินิจของท่าน วันนี้ยังไม่ได้ส่งสัญญาณอะไร”
ยอมรับจุดอ่อนเหินห่างกับ ส.ส.
เมื่อถามว่าที่ระบุว่าไม่ได้ใกล้ชิดกับพรรคตรงนี้เป็นปัญหาใช่หรือไม่ นายสุวิทย์ตอบว่า ตรงนี้เป็นข้อบกพร่องของตน ช่วงที่ผ่านมาตนไม่มี ส.ส.และงานในกระทรวงอาจไม่ได้เกี่ยวข้องกับประชาชนโดยตรง ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับมหาวิทยาลัย และงานวิจัย ยอมรับว่าตั้งแต่เป็นรัฐมนตรีก็ทำงานอยู่แต่ที่กระทรวง เมื่อถามว่าจะสมัครเป็นรองหัวหน้าฯต่อหรือไม่ นายสุวิทย์ตอบว่า “พอแล้ว อันนี้เดี๋ยวค่อยมาว่ากัน ผมไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่าทำงานให้เต็มที่ ส่วนช่องโหว่ความสัมพันธ์กับ ส.ส.นั้น หากยังทำงานในฐานะรัฐมนตรีต่อนี่คือสิ่งที่ผมต้องปรับปรุง เพราะเรื่องนี้เป็นจุดอ่อนให้เขามาตีเราได้ เรื่องนี้ผมไม่ปฏิเสธ แต่จะปรับปรุงเพื่อไปบริหารพรรคใหม่หรือไม่นั้นต้องขอคิดอีกที ตั้งแต่มีประเด็นนี้พวกผมทั้ง 3 คนยังไม่ได้คุยกัน ต้องคุยกัน ต่างคนต่างคิดไม่ได้ และต้องเรียนผู้ใหญ่อย่างน้อยนายกฯ และนายสมคิดต้องรับทราบในสิ่งที่พวกเราหารือกัน เราต้องรักษาภาพใหญ่ให้ได้ เพราะนายกฯยังต้องอยู่ในภาวะขับเคลื่อนวิกฤติ ไม่อยากให้ท่านปวดหัว ในการประชุม ครม.วันพรุ่งนี้ เมื่อเจอกันทั้งสามคน คงได้คุยกัน” เมื่อถามว่านายสมคิดได้ส่งสัญญาณอะไรมาหรือไม่ นายสุวิทย์ตอบว่า ท่านก็ถามเหมือนที่ถามสื่อ ตนก็บอกว่าสู้อยู่ ไม่ได้ สู้ทางการเมือง แต่สู้ในเนื้องานของกระทรวง
“ผู้กองนัส” ยันไม่เคยคิดต่อรอง
ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ แกนนำพรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างดูแลการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.ลำปาง เขต 4 หากชนะพรรคก็จะได้ ส.ส.เข้ามาอีก 1 ที่ แต่ไม่ใช่เพื่อต่อรองอำนาจ หรือต่อรองเก้าอี้รัฐมนตรี เข้ามาดูแลทุกข์สุขประชาชน มาเป็นปากเสียงแก้ปัญหาปากท้องให้ ส่วนกรณีองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) เตรียมเสนอโครงการไทยเที่ยวไทย ช่วยไทย เพื่อเสนอขออนุมัติงบประมาณ 14,500 ล้านบาท จากงบฯเงินกู้ 4 แสนล้านบาท ตาม พ.ร.ก.กู้เงิน 1 ล้านล้านบาท ยังไม่ได้รับรายงานโครงการดังกล่าวจาก อ.ต.ก. และไม่เห็นด้วย เพราะ อ.ต.ก.ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว ภาคการท่องเที่ยวมีแนวคิดเกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นการ ท่องเที่ยวอยู่แล้ว
“วิเชียร” ปัดระดมคนบล็อกโหวต
ที่รัฐสภา นายวิเชียร ชวลิต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ รักษาการนายทะเบียนพรรค พปชร. กล่าวถึงการเตรียมประชุมใหญ่สามัญประจำปีพรรคพลังประชารัฐ เพื่อเลือก กก.บห.ชุดใหม่ ว่าอยู่ระหว่างการเตรียมการประชุมใหญ่ประจำปี มีเงื่อนไขว่าต้องรายงานกิจการดำเนินการและใช้องค์ประชุม อย่างน้อย 250 คน ขณะนี้ยังมีความเสี่ยงเรื่องโควิด-19 จึงต้องเตรียมความพร้อม ยืนยันว่ายังอยู่ในกรอบ 45 วันตามข้อบังคับพรรค ส่วนข้อกังวลว่าอาจระดมคนมาเพื่อโหวตให้ กก.บห.พรรคคนใดคนหนึ่งนั้น ส.ส.พรรคมี 1 เสียง 1 โหวต ทุกคนมีวิจารณญาณคงไม่ทำอะไรที่ทำให้เกิดความเสียหาย
“ไพบูลย์” ขีดเส้นวันเลือก กก.บห.
นายไพบูลย์ นิติตะวัน รักษาการรองหัวหน้าพรรค และฝ่ายกฎหมายพรรค พปชร. กล่าวว่า การจัดประชุมใหญ่สามัญฯเชื่อว่าไม่มีปัญหา ไม่มีอะไรน่าห่วง หลังนายอุตตม และนายสนธิรัตน์ ระบุแล้วว่ากำลังดำเนินการไปตามขั้นตอน กรอบเวลาคือภายใน 45 วัน สัปดาห์นี้ผู้มีหน้าที่น่าจะยื่นเรื่องแจ้งต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ถึงการลาออกของ 18 กรรมการบริหารพรรค และสัปดาห์หน้ารักษาการหัวหน้าพรรคน่าจะเรียกประชุมรักษาการกรรมการบริหาร เพื่อพิจารณากำหนดการประชุมใหญ่สามัญได้ทั้งวันประชุม สถานที่ และระเบียบวาระการประชุม คาดว่าจะจัด ประชุมใหญ่เพื่อเลือกกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ได้ในวันที่ 4 ก.ค. หรือวันที่ 12 ก.ค.
“จิรายุ” ได้ทีตอกลิ่ม “บิ๊กตู่-สมคิด”
วันเดียวกัน นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกระแสข่าวการปรับ ครม.ว่า เรื่องนี้เป็นเหมือนลิเกผสมปาหี่ฉากใหญ่ เห็นถึงฉากหลังว่าเขาเตรียมความพร้อมออกมาหน้าโรงอย่างไร ที่สำคัญประชาชนไม่ได้ประโยชน์อะไร เป็นเรื่องของพรรคพลังประชารัฐไม่อยากเข้าไปยุ่ง แต่เท่าที่ดูอย่าให้นาน เพราะชาวบ้านรอดูฝีมือการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจมากกว่า ควรจบปัญหามุ้งในพรรคโดยเร็ว หากมีการปรับ ครม.จริง ขอให้ปรับด้านเศรษฐกิจ ที่ผ่านมาไม่ได้สร้างผลงานเป็นที่ประจักษ์ ปัญหาความไม่เป็นเอกภาพ คิดว่านายกฯต้องหาญกล้ายึดผล ประโยชน์ชาติเป็นที่ตั้ง แทนการรักษาเก้าอี้ตนเอง ผ่านมา 1 ปีมองแทบไม่เห็นจุดดีในการดำเนินนโยบาย วันดีคืนดีก็แจกเงินชิม ช้อป ใช้ ยังนึกไม่ออกว่านโยบายที่เคยประกาศไว้คืออะไร คิดว่านายกฯเองไม่ได้ไว้ใจนายสมคิดมาแต่ต้น เพราะเพิ่งเข้ามาหลังยึดอำนาจ ทั้งหมดนี้เป็นแค่การแก้ปัญหามุ้งและความขัดแย้งในพรรค ไม่ได้แก้เพื่อปรับปรุงการทำงาน ส่วนกระทรวงของพรรคร่วมแทงหวยได้เลยว่าคงไม่กล้าไปปรับเขา
วิป รบ.ไฟเขียวตั้ง กมธ.สอบงบโควิด
ที่รัฐสภา นายวิรัช รัตนเศรษฐ ประธานวิปรัฐบาล กล่าวว่า การประชุมสภาผู้แทนราษฎรวันที่ 10-11 มิ.ย. มีวาระพิจารณาญัตติด่วนเสนอตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญตรวจสอบติดตามการใช้งบประมาณแก้ปัญหาโควิด-19 และญัตติด่วนการตั้ง กมธ.วิสามัญพิจารณาผลกระทบการลงนามข้อตกลง cptpp เมื่อถามว่า กมธ.วิสามัญติดตามตรวจสอบการใช้งบประมาณ ตาม พ.ร.ก.กู้เงิน 3 ฉบับ จะตั้งได้หรือไม่ นายวิรัชตอบว่า เรื่องนี้ไม่มีปัญหา สิ่งที่จะพูดคุยกันคือจะให้เวลาพิจารณากี่วัน เพราะการใช้เงินงบประมาณครอบคลุมไปถึงปี 2564 น่าจะตั้งโดยใช้ กมธ.ชุดใหญ่ มีตัวแทนเกือบทุกพรรค ส่วนเวลาการพิจารณาอาจต้องขยาย 2 ครั้ง คือครั้งแรก 120 วัน แล้วต่ออีก 120 วัน น่าจะครอบคลุมได้
“วิเชียร” ยันโอนงบไม่ขัด รธน.
นายวิเชียร ชวลิต รองประธานกรรมาธิการ วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.โอนงบประมาณรายจ่าย 8.8 หมื่นล้านบาท กล่าวถึงกรณี กมธ.ซีกฝ่ายค้าน เตรียมยื่นศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาตีความร่าง พ.ร.บ.โอนงบประมาณฯขัดกับรัฐธรรมนูญหรือไม่ว่า ร่าง พ.ร.บ.โอนงบฯเป็นไปตามรัฐธรรมนูญมาตรา 144 ไม่ให้ กมธ.แปรญัตติเพิ่มงบฯ เพราะร่างกฎหมายฉบับนี้มีลักษณะคล้ายกับ พ.ร.บ.งบประมาณ ที่ผ่านมาการพิจารณาปรับลดงบประมาณก็พิจารณาสอดคล้องกับมติ ครม. ที่มีการปรับลดงบประมาณด้านการฝึก อบรม การประชาสัมพันธ์ การศึกษาดูงานต่างประเทศ รวมถึงงบลงทุนที่ไม่สามารถจัดซื้อจัดจ้างได้ทันในวันที่ 7 เม.ย.2563 หรือลงนามสัญญาภายในวันที่ 31 พ.ค.2563 เชื่อว่าการพิจารณาจะผ่านไปด้วยความเรียบร้อย
พท.จี้ รบ.จริงใจหนุนตรวจสอบ
ที่พรรคเพื่อไทย คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย แถลงว่า พรรคเพื่อไทยต้องการเห็นนายกฯพิสูจน์ความจริงใจ และแสดงความโปร่งใสในการใช้เงินราว 2 ล้านล้านบาท ใน การฟื้นฟูประเทศหลังสถานการณ์โควิด โดยต้องรับข้อเสนอ 2 ข้อของพรรคฝ่ายค้าน คือ 1.รัฐบาลต้องสนับสนุนร่าง พ.ร.บ.ติดตามตรวจสอบการใช้จ่ายเงินกู้และเงินสินเชื่อ 1.9 ล้านล้านบาท จาก พ.ร.ก. 3 ฉบับ และ 2.รัฐบาลต้องสนับสนุนการตั้ง กมธ. วิสามัญฯด้วย ก่อนหน้านี้นายยอมรับเองว่าตนเองไม่เก่งเศรษฐกิจ และที่ผ่านมารัฐบาลใช้เงินไม่มีประสิทธิภาพ ไม่มีแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ชัดเจน เหลืออย่างเดียวคือโปรดพิสูจน์ความจริงใจ และยอมให้พรรคฝ่ายค้านร่วมตรวจสอบการใช้เงินก้อนใหญ่ก้อนสุดท้ายของประเทศ เพราะเป็นน้ำมันถังสุดท้ายที่จะใช้รีสตาร์ตประเทศ
ยอมไม่ได้ถ้าจะเอาไปจ่ายค่าโง่
นายการุณ โหสกุล ส.ส. กทม. พรรคเพื่อไทย รองประธาน กมธ.ศึกษาการจัดทำและติดตามการ บริหารงบประมาณ กล่าวว่า ตามที่รัฐบาลยอมรับว่ามีประชาชนมากกว่า 9 ล้านคน ตกหล่นเข้าไม่ถึงมาตรการเยียวยา ถือเป็นการทำงานที่ผิดพลาดร้ายแรง กมธ.ฯจะหารือเพื่อตรวจสอบการทำงานของทุกหน่วยงาน เพราะความเดือดร้อนของประชาชนรอไม่ได้ รวมถึงความน่าเป็นห่วงที่จะมีการโอนงบประมาณกว่า 88,000 ล้านบาท ไปใส่ในงบกลาง หรืองบสำรอง ฉุกเฉิน ใส่พานให้ พล.อ.ประยุทธ์มีอำนาจสั่งจ่าย ดังนั้นพรรคฝ่ายค้านจะตรวจสอบการใช้จ่ายเงินต้องไม่นำไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ ไม่ว่าจะเป็นการซื้ออาวุธ หรือใช้จ่ายแบบสุรุ่ยสุร่ายอย่างที่ทำมาตลอด และหากมีการกันเงินไว้เพื่อจ่ายค่าเสียหายกรณีปิดเหมืองทองอัครา 36,000 ล้านบาท พรรคฝ่ายค้านคงยอมไม่ได้ ที่จะเอาภาษีประชาชนไปจ่ายแทนความผิดพลาดของรัฐบาล คสช.ที่ลุแก่อำนาจจนส่งผลให้ประเทศเสียหาย
ชะลอนำชื่อ “สุชาติ” ทูลเกล้าฯ
ที่รัฐสภา เวลา 12.00 น. นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภา แถลงชี้แจงกรณีที่ประชุมวุฒิสภาลงมติให้ความเห็นชอบนายสุชาติ ตระกูลเกษมสุข อธิบดีผู้พิพากษาศาลแพ่งมีนบุรี ได้รับคัดเลือกเป็นกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) โดยถูกตั้งข้อสังเกตว่าอาจมีลักษณะต้องห้าม เนื่องจากพ้นจากตำแหน่ง สนช.ไม่ถึง 10 ปี ว่า การเสนอรายชื่อให้ ส.ว.พิจารณา เป็นหน้าที่ของคณะกรรมการสรรหา ป.ป.ช. ดำเนินการและวินิจฉัยเรื่องคุณสมบัติ วุฒิสภาไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง เมื่อคณะกรรมการสรรหาฯส่งชื่อนายสุชาติให้วุฒิสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบ แม้ ส.ว.อาจสงสัยในปัญหาคุณสมบัติของนายสุชาติ แต่ไม่สามารถหยิบยกขึ้นมาวินิจฉัยได้ เพราะรัฐธรรมนูญมาตรา 203 วรรค 5 ระบุให้เป็นหน้าที่คณะกรรมการสรรหาฯเป็นผู้วินิจฉัย และให้คำวินิจฉัยของคณะกรรมการสรรหาฯเป็นที่สิ้นสุด อย่างไรก็ตาม ในฐานะประธานวุฒิสภาที่เป็นผู้นำรายชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ เมื่อเกิดความไม่ชัดเจนเรื่องคุณสมบัติของนายสุชาติ จึงเห็นควรให้ขยายเวลาการลาออกจากตำแหน่งปัจจุบันของนายสุชาติ ที่ปกติต้องลาออกภายใน 15 วัน หลังได้รับเลือกเป็น ป.ป.ช.ออกไปก่อน เพื่อรอให้ได้ความชัดเจนจากทุกองค์กรที่มีอำนาจวินิจฉัย จึงจะนำรายชื่อขึ้นทูลเกล้าฯต่อไป
ยังไม่ถึงขั้นส่งศาล รธน.วินิจฉัย
ผู้สื่อข่าวถามว่า ที่ผ่านมาคณะกรรมการสรรหาคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน (กสม.) เคยลงมติว่า พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก และนางจินตนันท์ ชญาต์รศุภมิตร มีคุณสมบัติต้องห้ามเป็น กสม. เพราะพ้นจากตำแหน่ง สนช.ไม่ถึง 10 ปี ถือว่าแย้งกับมติคณะกรรมการสรรหา ป.ป.ช. ที่ระบุว่าตำแหน่ง สนช.ไม่ถือเป็น ส.ส. และ ส.ว. นายพรเพชรตอบว่า เหตุผลการขัดคุณสมบัติเป็น กสม.ของ พล.อ.นิพัทธ์กับนางจินตนันท์ ได้ยินแต่กระแสข่าว ต้องรอหนังสือยืนยันจากคณะกรรมการสรรหา กสม.ก่อน เมื่อถามว่า ต้องส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญชี้ขาดหรือไม่ นายพรเพชรตอบว่า ขั้นตอนนี้ยังไม่ถือเป็นความขัดแย้งระหว่างองค์กร ต้องรอหนังสือชี้แจงจากคณะกรรมการสรรหา กสม.ก่อน เพื่อดูว่าจำเป็นต้องยื่นศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่ ถ้าดูแล้วมีความจำเป็นก็คงต้องยื่น ส่วนตัวไม่สามารถให้ความเห็นได้ว่าตำแหน่ง สนช.เทียบเคียงได้กับตำแหน่ง ส.ส. และ ส.ว.หรือไม่ เมื่อถามว่า การที่ ส.ว.ให้ความเห็นชอบเพราะถูกมัดมือชกโดยมาตรา 203 วรรค 5 หรือไม่ นายพรเพชรตอบว่า ถ้าจะบอกว่ามัดมือชก ก็คงเป็นไปตามนั้น
ส่วน “ณัฐจักร” ส่งทูลเกล้าฯตามปกติ
ต่อมาช่วงเย็น นายพรเพชรให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมว่า นายณัฐจักร ปัทมสิงห์ ณ อยุธยา ที่ผ่านการสรรหาจากคณะกรรมการสรรหา ป.ป.ช. มาพร้อมกับนายสุชาติ ตระกูลเกษมสุข นั้น จะดำเนิน การตามขั้นตอนการทูลเกล้าฯปกติต่อไป เนื่องจากไม่มีการร้องเรียนเรื่องคุณสมบัติเข้ามา ทำหน้าที่ ลักษณะนี้มาหลายครั้งแต่กรณีเช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน จึงต้องพิจารณาทุกอย่างให้เรียบร้อย รอบคอบ และถูกต้อง ส่วนการนำเสนอข่าวที่ระบุว่า ตนพูดว่า ส.ว.ถูกมัดมือชกให้เห็นชอบเรื่องดังกล่าว ขอชี้แจงยืนยันว่าไม่ได้พูดว่าเป็นการมัดมือชก แต่เป็นคำถามนำของสื่อ โดยเรื่องนี้เป็นเรื่องกฎหมาย จะมัดมือชกได้อย่างไร ตนไม่ได้พูดเช่นนั้น
กก.สรรหา ป.ป.ช.นัดถกปมปัญหา
นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ในฐานะกรรมการสรรหา ป.ป.ช. กล่าวว่า เรื่องนายสุชาติถือเป็นมติที่เป็นที่สุดไปแล้ว แต่ล่าสุดประธานวุฒิสภาแจ้งไปยังประธานศาลฎีกา ในฐานะประธานคณะกรรมการสรรหา ป.ป.ช. เพื่อเรียกประชุมคณะกรรมการสรรหาให้ยืนยันมติอีกครั้ง ก่อนนำรายชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ ส่วนที่ตนเป็นผู้ท้วงติงเรื่องลักษณะต้องห้ามในที่ประชุมกรรมการสรรหา ป.ป.ช.นั้น เรื่องนี้ต้องแยกระหว่างหลักการกับตัวบุคคล ทุกคนล้วนเป็นผู้มีความสามารถ ไม่มีใครมีปัญหาเรื่องนี้ แต่เรื่องคุณสมบัติผู้ซึ่งพ้นจากการเป็น สนช.ยังไม่ถึง 10 ปี จะเป็นกรรมการองค์กรอิสระได้หรือไม่ คือส่วนที่มีปัญหา วันดังกล่าวมีการลงคะแนนถึง 3 รอบ ถ้ารอบที่ 3 คือรอบสุดท้ายยังไม่ผ่าน ต้องเริ่มนับหนึ่งกระบวนการสรรหาใหม่ ทำให้การลงมติรอบสุดท้ายคะแนนเปลี่ยนแปลงไปตามผลที่ออกมา เรื่องนี้จบแล้ว คงฟื้นกลับลงมติใหม่ไม่ได้
ร้องผู้ตรวจฯ ปมคุณสมบัติ 90 ส.ว.
ที่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน นายปิติพงศ์ เต็มเจริญ พร้อมนายทรรศนัย ทีน้ำคำ ทนายความยื่นหนังสือถึงผู้ตรวจการแผ่นดิน ขอให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยว่าสมาชิกภาพของ ส.ว.จำนวน 90 คน สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญมาตรา 108 ข.(1) (3) และ (9) หรือไม่ นายปิติพงศ์กล่าวว่า พบว่ามี ส.ว.จำนวน 90 คน จาก 250 คน เป็นอดีต สนช. ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 108 ที่ระบุว่า ส.ว.ต้องไม่มีลักษณะต้องห้าม คือมิให้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตามมาตรา 98 (17) หรือเคยเป็น ส.ส. เว้นแต่พ้นจากการเป็น ส.ส.ไม่น้อยกว่า 5 ปี หรือเคยดำรงตำแหน่ง ส.ว. ซึ่ง ส.ว.ทั้ง 90 คนนี้ เคยดำรงตำแหน่งเป็น สนช. จึงถือว่าขาดคุณสมบัติ และมีลักษณะต้องห้าม สำหรับรายชื่อ ส.ว.ที่นายปิติพงศ์ยื่นให้ผู้ตรวจการแผ่นดินพิจารณา ในจำนวน 90 คน อาทิ นายพรเพชร วิชิตชลชัย พล.อ.สิงห์ศึก สิงห์ไพร พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย นายสมชาย แสวงการ พล.อ.อู้ด เบื้องบน นายวัลลภ ตังคณานุรักษ์ นายกล้านรงค์ จันทิก เป็นต้น
บุกสถานทูตกัมพูชาจี้หาตัว “วันเฉลิม”
เมื่อเวลา 10.00 น. ที่หน้าสถานทูตกัมพูชา ประจำประเทศไทย นายณัฐวุฒิ อุปปะ และ น.ส.แสงศิริ ตรีมรรค ในนามตัวแทนคณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน (กป.อพช.) เดินทางมายื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีกัมพูชา เรียกร้องให้ทางการกัมพูชาเร่งดำเนินการหาตัวและช่วยเหลือนายวันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ หรือต้าร์ ผู้ต้องหาคดีความมั่นคง ที่ทางญาติยืนยันว่าได้ถูกลักพาตัวไปจากที่พักกลางกรุงพนมเปญ ในลักษณะของการอุ้มหาย โดยกลุ่ม กป.อพร.ได้แนบรายชื่อองค์กรพัฒนาเอกชนกว่า ร้อยองค์กรที่เข้าชื่อร่วมกันสนับสนุนการติดตามหาตัวนายวันเฉลิม พร้อมอ่านแถลงการณ์เรื่องการอุ้มหายนายวันเฉลิม เนื้อหาเรียกร้องให้ทั้งรัฐบาลไทยและรัฐบาลกัมพูชา เปิดเผยข้อมูลและนำผู้ที่กระทำมาดำเนินคดีโดยเร็ว อย่างไรก็ตาม ทางสถานทูตกัมพูชาปฏิเสธที่จะรับหนังสือและห้ามเจ้าหน้าที่ของสถานทูตมาประสานงานหรือสอบถามใดๆ มีเพียงเจ้าหน้าที่ตำรวจท้องที่และเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง มาคอยดูแลความสงบเรียบร้อย
กลุ่มไม่นิ่งเฉยฉะรัฐบาลทำเป็นนิ่ง
ต่อมาเวลา 11.00 น.ที่รัฐสภา กลุ่มภาคประชาชนผู้ไม่ยอมนิ่งเฉย เข้ายื่นหนังสือถึงคณะกรรมาธิการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร ผ่าน น.ส.เบญจา แสงจันทร์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล เรียกร้องให้ตรวจสอบการถูกอุ้มหายของนายวันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ นายกันต์ วัฒนสุภางค์ ตัวแทนกลุ่มภาคประชาชน กล่าวว่า เราไม่อาจทนเห็นการกระทำต่อผู้เห็นต่างทางการเมืองได้ เหตุการณ์ดังกล่าวรัฐบาลไทยกลับนิ่งดูดาย ไม่สนใจ หรือประสานงานกับประเทศที่เกิดเหตุการณ์ ปล่อยคดีเงียบ อย่างกับว่าพึงพอใจที่ได้เห็นการกระทำดังกล่าว เหมือนนายวันเฉลิมไม่ใช่พลเมืองไทย เป็นการตอกย้ำว่าไทยยังไม่ใช่พื้นที่เสรีแท้จริง จึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลไทยติดตามหาผู้ร้ายอย่างจริงใจ และจริงจัง
พท.แถลงการณ์กดดันหาทางช่วย
คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยออกแถลงการณ์เรียกร้องให้รัฐบาลตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีการหายตัวไปของนายวันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ โดยเหตุเกิดที่ประเทศกัมพูชา ซึ่งรัฐธรรมนูญกำหนดแนวทางไว้ชัดเจนอยู่แล้วว่า รัฐบาลมีหน้าที่ต้องช่วยเหลือคนไทยที่พำนักในต่างประเทศ เมื่อเกิดเหตุการณ์ในลักษณะดังกล่าว แม้ว่าบุคคลที่ถูกกระทำดังกล่าวจะเป็นบุคคลที่คิดต่างจากรัฐบาล แต่รัฐบาลมีหน้าที่ต้องดูแลสิทธิและเสรีภาพของนายวันเฉลิมตามกฎหมาย เพราะเป็นคนไทย ย่อมต้องได้รับการคุ้มครองสิทธิ และเสรีภาพตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ เป็นไปตามหลักสิทธิมนุษยชนสากล
“บิ๊กป้อม” ยังไม่ยกหูคุยเตีย บันห์
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีการหายตัวไปของนายวันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ ว่า ส่วนตัวยังไม่ได้หารือกับ พล.อ.เตีย บันห์ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหมกัมพูชา ยังไม่ทราบความคืบหน้ากรณีดังกล่าว เพราะอยู่ระหว่างการประสาน พูดคุยกับทางการกัมพูชา ซึ่งเรื่องคดี เป็นเรื่องของกัมพูชา
ทบ.ยัน “ต้าร์” ไม่โดนมาตรา 112
ที่กองบัญชาการกองทัพบก พล.ต.บุรินทร์ ทองประไพ ผอ.สำนักงานกรมพระธรรมนูญทหารบก และอดีตนายทหารปฏิบัติหน้าที่ฝ่ายกฎหมายคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงกรณีที่มีข่าวโจมตีกองทัพบกอยู่เบื้องหลังการอุ้มนายวันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ หรือ “ต้าร์” อายุ 37 ปี ไปจากหน้าคอนโดมิเนียม ในกรุงพนมเปญ กัมพูชา ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับกรณีการละเมิดสถาบันว่า ยืนยัน คสช.ไม่ได้แจ้งความเอาผิดนายวันเฉลิมฐานความผิดประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 แต่แจ้งความฐานขัดคำสั่ง คสช. ไม่มารายงานตัว และความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์เท่านั้น โดยคดีความต่างๆใกล้สิ้นสุดแล้ว ยกเว้นความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ที่กำลังอยู่ในขั้นตอนกระบวนการพิจารณาคดีของศาลยุติธรรม ไม่ได้ขึ้นศาลทหาร
บัวแก้วขอกัมพูชาคลี่ปม “ต้าร์”
ด้านนายเชิดเกียรติ อัตถากร อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า กระทรวงการต่างประเทศรับทราบข่าวการหายตัวไปของนายวันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ ผ่านสื่อต่างๆด้วยความเป็นห่วง โดยที่ยังไม่สามารถยืนยันข้อเท็จจริงในกรณีดังกล่าว ได้มอบหมายให้สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงพนมเปญ ประสานกับทางการกัมพูชา โดย สถานเอกอัครราชทูตฯ มีหนังสือถึงกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชา เพื่อขอให้ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และขอรับข้อมูลใดๆที่อาจเกี่ยวข้องกับกรณีนี้ ในชั้นนี้กระทรวงการต่างประเทศกัมพูชารับทราบ ประเด็นที่ฝ่ายไทยร้องขอแล้ว และสถานเอกอัครราชทูตฯ จะติดตามความคืบหน้าอย่างใกล้ชิด
"คนเดียว" - Google News
June 09, 2020 at 05:23AM
https://ift.tt/3dOkmqS
สมคิดบอมบ์การเมือง ชวนคนดี ให้มาร่วมทำงาน (คลิป) - ไทยรัฐ
"คนเดียว" - Google News
https://ift.tt/2Wbluya
No comments:
Post a Comment